ขับเคลื่อนโดย Blogger.
RSS

ไอแซค นิวตัน (Isaac Newton)

ผลงาน : เป็นผู้พบแรงดึงดูดของโลก และเป็นผู้สร้างกล้องโทรทรรสน์ชนิดสะท้อนแสงเป็นคนแรก

นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ และเชื่อในทฤษฎีที่ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อโชคชะตาของคน และชอบศึกษาเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุที่เราทราบกันว่าเป็นเรื่องไร้สาระ นักวิทยาศาสตร์คนเดียวกันนี้เองที่ค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วง และพัฒนาคณิตศาสตร์แขนงใหม่ คือ แคลคูลัส ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ทุกแขนง

เซอร์ไอแซค นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1642 ที่ลินคอล์นเชียร์ อังกฤษ ในสมัยที่เป็นเด็กไม่ค่อยสนใจในการเรียนนัก ชอบทางด้านเครื่องจักร เครื่องกล แต่พออายุเริ่ม 15 ปี เขากลับเอาใจใส่การศึกษามากขึ้น พอบิดาของเขาถึงแก่กรรมลง มารดาก็ตั้งใจให้เขาทำงานในฟาร์มเหมือนบิดา แต่เขาไม่ชอบ

นิวตัน เป็นคนไม่ชอบเพื่อน ฉะนั้นเขาจึงมีเวลามาก พอที่จะหมกมุ่นอยู่กับตำราเป็นส่วนใหญ่ เขาเริ่มคิดประดิษฐ์สิ่งแปลก ๆ ใหม่ ขึ้น เป็นต้นว่า โรงสีลมเล็กๆ ซึ่งใช้กำลังงานกระแสลม ทำให้เครื่องจักร และสร้างนาฬิกาน้ำโดยให้น้ำหยดลงมาในถังแล้ว สังเกตระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นมา

พอนิวตัน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อปี ค.ศ. 1665 เขาก็ทำงานเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยนี้ พอเกิดโรคระบาด มหาวิทยาปิดชั่วคราว นิวตันจึงกลับไปทำงานส่วนตัวที่บ้าน ในช่วงเวลานั้นเป็นระยะที่เขาได้ความคิด เกี่ยวกับงานสำคัญของเขาในเวลาต่อมาหลายเรื่อง เมื่อเขาทำงานเงียบ ๆ ด้วยตัวเอง คิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้สังเกตและสามารถเห็นเหตุผลที่ทำให้เกิดขึ้น ซึ่งคนอื่นมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เช่น การสังเกตการณ์หล่นของผลแอปเปิล ที่ทำให้เขาได้ความคิดเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นแรงดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก และเป็นแรงที่ทำให้โลก ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ และดาวต่าง ๆ อยู่ในระบบสุริยะ คนทั่วไปมองเห็นสีของรุ้งกินน้ำในท้องฟ้า แต่นิวตันรู้ และสามารถพิสูจน์ได้ว่า แสงที่เราเห็นว่าไม่มีสีหรือที่เรียกว่าสีขาวเกิด จากสีรุ้งนั่นเอง

นิวตันเป็นคนที่อ่อนไหว เขาไม่ชอบการขัดแย้งกัน แลมักจะโกรธต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เขาไม่ได้ตีพิมพ์เรื่องแรงโน้มถ่วงเป็นเวลาหลายปี ในระหว่างนั้นเขาได้ศึกษาวิธีที่สร้างกล้องโทรทรรศน์ และเมื่อเขากลับไปเคมบริดจ์ เขาได้สร้างกล้องโทรทรรศน์แบบใหม่ แบบมีตัวสะท้อนแสง กล้องโทรทรรศน์นี้ ทำให้เขามีชื่อเสียงและได้รับเชิญให้เข้าร่วมในราชสมาคมชั้นนำของนักวิทยาศาสตร์ในประเทศอังกฤษ แต่โรเบิร์ต ฮุค ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมได้ วิจารณ์ความคิดของเขาเกี่ยวกับธรรมชาติของแสง นิวตันและฮุค จึงไม่เคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอีกเลย

นิวตัน ยังมีความสนใจในสิ่งนอกเหนือไปจากวิทยาศาสตร์ เขาได้เป็นสมาชิกรัฐสภาในช่วงเวลาสั้น ๆ จากนั้นในปี ค.ศ. 1699 เขาก็ได้เป็นหัวหน้ากองกษาปณ์ของราชสำนัก ซึ่งผลิตเหรียญที่ใช้กันในประเทศ

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ แต่เขาก็มีความคิดบางอย่างที่แปลกประหลาด เช่น เขาเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ เชื่อในทฤษฎีที่ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อโชคชะตาของคน เขาได้ศึกษาเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งเชื่อกันว่าจะสามารถเปลี่ยนโลหะ เช่น ทองแดงให้เป็นทองได้ ในสมัยของนิวตันผู้คนมีความเชื่อกันเช่นนั้นมาก ซึ่งในปัจจุบันเราทราบว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

ไอแซค นิวตัน เป็นบุคคลที่มุ่งทำประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าชีวิตของตนเอง เขามีความสุขอยู่กับการทดลองวิทยาศาสตร์ และการคำนวณภายในห้องทดลองของเขายิ่งกว่าอื่นใด เขาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็นท่าน เซอร์ เมื่อมีอายุร่วม 60 ปีแล้ว

เซอร์ไอแซค นิวตัน ถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 84 ปี และถูกฝังในสุสานวิหารเวสมินสเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีอนุสาวรีย์ของเขาตั้งอยู่ แม้ว่าทุกคนจะระลึกถึงเขาว่าเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง แต่ตัวเขาเคยพูดว่า ฉันมองได้ไกลกว่าคนส่วนใหญ่ ก็เพราะฉันยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อัลเฟรด เบอนาร์ด โนเบล (Alfred Bernard Nobel)

อัลเฟรด เบอนาร์ด โนเบล นักวิศวกรชาวสวีเดน ผู้ค้นพบวิธีทำระเบิดไดนาไมท์ แต่เล็งเห็นความร้ายกาจของมัน เขาจึงตั้งกองทุนเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 เหรียญอเมริกัน เป็นรางวัลประจำปีให้แก่บุคคลซึ่งทำประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติ ในสาขาต่าง ๆ คือ รางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์, สาขาเคมี, สาขาแพทย์ และสรีรศาสตร์ สาขาวรรณคดี และสาขาสันติภาพ

รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ และเคมีทำการแจกรางวัล โดยสถาบัน the Royal Academy of Science ในกรุงสต็อคโฮม ประเทศสวีเดน สาขาแพทย์ แจกรางวัลโดย Karolinska Medical- Chirurgical Institute ในต็อคโฮม, สาขาวรรณคดี แจกโดยสถาบัน the Swedish Academy ในกรุงสต็อคโฮม, สาขาสันติภาพ แจกโดย the Swedish Parliament

รางวัลโนเบลประกอบไปด้วย เหรียญทองที่ด้านหน้าเป็นภาพของอัลเฟรด โนเบล พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ และเงินสด รางวัลนี้ประกอบทุก ๆ ต้นปี แต่จะทำพิธีแจกในวันที่ 10 ธันวาคม อันเป็นวันครบรอบวันตายของอัลเฟรด โนเบิล

รางวัลโนเบลทำพิธีแจกเป็นครั้งแรกในปี 1901 นักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์ ก็คือ วิลเฮล์ม คอนราด รืนต์เกิน ผู้ค้นพบรังสีเอกซ์

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ลาวัวซิเอร์ (Lavoiser)

นักวิทยาศาสตร์และนักการเมืองผู้อธิบายถึงทฤษฎีการไหม้เป็นคนแรก และเป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวที่ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยติน เมื่อมีอายุเพียง 51 ปี ถ้าเขามีชีวิตยาวนานกว่านี้ โลกเราอาจจะมีสิ่งแปลก ๆ ใหม่ เกิดขึ้นมากกว่านี้ก็ได้ ชีวิตของเขาจึงเป็นบทเรียนให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังได้คิดว่า บางครั้งตำแหน่งทางการเมืองนั้น ก็ไม่เหมาะสำหรับนักวิทยาศาสตร์เลย

อังตวน ลาวัวซิเอร์ เกิดในปารีส เมื่อ ค.ศ.1743 เป็นบุตรของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง เมื่ออายุได้ 13 ปี เขาเคยตั้งใจที่จะเป็นนักเขียนแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงหันกลับมาเริ่มสนใจวิชากฎหมายดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และธรณีวิทยาแทน ลาวัวซิเอร์ได้รับการศึกษาอย่างดี บิดาได้ส่งเขาไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยมาซาแรง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของปารีสในสมัยนั้น วิชาที่เขาสนใจที่สุด คือ วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเคมี พอจบการศึกษาเขาได้เข้ารับราชการในแผนกจัดเก็บภาษีของรัฐบาลฝรั่งเศส และได้รับรางวัลจากราชบัณฑิตยสมาคมวิทยาศาสตร์ ในฐานะที่ค้นคว้าหาวิธีจุดตะเกียงตามถนนในกรุงปารีสได้สำเร็จ

ปี ค.ศ.1768 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกของราชบัณฑิตยสมาคมทางวิทยาศาสตร์แห่งฝรั่งเศส ซึ่งตามกฎมีว่าผู้ที่จะเป็นสมาชิกได้จะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 50 ปี แต่ลาวัวซิเอร์ในขณะนั้นมีอายุเพียง 25 ปี ทั้งนี้ เพราะผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่เขาได้ทำไว้นั่นเอง

ผลงานที่ลาวัวซิเอร์ได้รับเกียรติยศ และชื่อเสียงมาก ก็คือ ทฤษฎีแห่งการเผาไหม้ หรือสันดาปทฤษฎี เขาเป็นผู้อธิบายปรากฏการณ์ของการเผาไหม้วัตถุต่าง ๆ ได้ละเอียด ชัดเจน เขาอธิบายว่า การลุกไหม้คือ การรวมตัวของสารกับออกซิเจนในอากาศ และถ้าไม่มีออกซิเจนการลุกไหม้ก็จะไม่เกิดขึ้น

ในขณะที่ทำการทดลองเกี่ยวกับการเผาไหม้เขาได้ทดลองเกี่ยวกับส่วนประกอบของน้ำด้วย และได้ทำตามความคิดของ โรเบิร์ต บอยส์ ในการที่จะหาว่าสารนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร และอะไรคือความแตกต่างระหว่างสารผสมและสารประกอบ ทุกสิ่งที่เขาทำจะละเอียดถี่ถ้วนและเป็นระบบ

ลาวัวซิเอร์ถูกประหารชีวิต ที่กลางเมืองปารีส ด้วยกิโยติน เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1794 ขณะอายุได้ 51 ปี ในข้อหาว่า ทำการกดขี่ข่มเหงพลเมืองด้วยการรีดนาทาเร้นภาษี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexznder Graham Bell)

เกรแฮม เบลล์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวอย่างได้อย่างดีว่า นักวิทยาศาสตร์ที่จะคิดประดิษฐ์สิ่งใดนั้น สิ่งที่เขาคิดทำมักเกิดจากความจำเป็นที่ทำให้ต้องคิดขึ้นใช้ แต่บางครั้งสิ่งที่เขากำลังคิดนั้น ไม่ประสบผลสำเร็จ กลับไปประสบผลสำเร็จอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีประโยชน์และทำชื่อเสียงให้มากกว่า ดังเช่น เกรแฮม เบลล์ คิดเครื่องมือที่จะทำให้คนใบ้ได้ยินได้สำเร็จ แต่คิดโทรศัพท์เป็นผลสำเร็จ เป็นต้น


อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ เกิดที่เมืองเอดินเบอระ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1847 บิดาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ส่วนมารดาเป็นคนหูพิการ เขาจึงเรียนรู้การทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ด้วยภาษาใบ้ได้อย่างดี โดยบิดาสอนให้เขาสังเกตริมฝีปากของมารดาเวลาที่นางพูด หูของเบลล์ยังสามารถแยกแยะ ความแตกต่างของเสียงที่ใกล้เคียงกันได้ดีอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ใช้ยืนยันในเรื่องนี้ ก็คือ เขาเล่นเปียนโนได้ดีเยี่ยม โดยไม่ต้องอ่านโน้ต และเมื่อสังเกตพบว่าเสียงเพลงเกิดจากการสั่นสะเทือน เบลล์จึงคิดว่าทำไมเสียงจะเคลื่อนที่ไปบนเส้นลวดบ้างไม่ได้ และคงจะฟังได้ไกล ๆ เป็นแน่ ด้วยความคิดนี้ทำให้เขาสร้างเครื่องโทรศัพท์ของเขาเป็นเครื่องแรก เขาสร้างตัวส่งผ่าน ซึ่งมีที่พูดลักษณะคล้ายเขาสัตว์เป็นตัวนำคลื่นเสียงไปยังโลหะแผ่นแบน ซึ่งมีแม่เหล็กอยู่ใกล้ และเส้นลวดขดรอบแม่เหล็กนั้น เมื่อคลื่นเสียงจากคำพูดของเขาทำให้แผ่นโลหะสั่นสะเทือน ความสั่นสะเทือนทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นในเส้นลวดที่อยู่รอบแม่เหล็ก แล้วไหลผ่านเส้นลวดอีกเส้นหนึ่งซึ่งต่อไปยังเครื่องรับ ที่เครื่องรับจะมีเครื่องคล้าย ๆ กัน ทำหน้าที่เปลี่ยนกระแสไฟฟ้าให้กลับไปเป็นเครื่องเสียงอีก เครื่องโทรศัพท์จริงเครื่องแรกได้ใช้ในปี ค.ศ.1876 โดยเบลและวัตสันเพื่อนของเขาที่ทำการทดลองร่วมกัน โดยทั้งคู่อยู่ห่างกัน 3 กิโลเมตร

สิ่งประดิษฐ์ของเบลทำให้เขาร่ำรวย แต่ในไม่ช้าเขาก็หันกลับไปทำงานให้กับคนหูหนวกอีก เพราะเขาคิดว่าสำคัญกว่าสิงอื่นใดทั้งหมด ในปี 1882 เบลล์แต่งงานกับเมเปิล ฮับบาร์ด ศิษย์หูหนวกของเขา ทำให้เขากระตือรือร้นจะประดิษฐ์สิ่งเหล่านี้มากยิ่งขึ้น แต่เขาไม่สามารถประดิษฐ์เครื่องช่วยในการฟังให้คนทีหูหนวกอย่างสนิทได้ แต่ก็สามารถช่วยเหลือผู้ที่แก้วหูเสียหายไม่มากนักได้

อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข จนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1922

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

โจเซฟ พริสต์เลย์ (Joseph Priesley)

ผลงาน : เป็นผู้ค้นพบก๊าซออกซิเจนเป็นคนแรก ในปี ค.ศ. 1774

นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบก๊าซออกซิเจนเป็นคนแรก เป็นผู้ที่มีมันสมองพิเศษ เรียนรู้ได้เร็ว แต่ต้องถูกชาวอังกฤษต่อต้าน เพราะเหตุที่เขานิยมการปฏิวัติในฝรั่งเศสและอเมริกา จนถูกขู่ทำร้ายร่างกายจนต้องอพยพจากอังกฤษ ไปอยู่อเมริกาตลอดชีวิต

โจเซฟ พริสต์เลย์ เกิดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 1733 ที่ยอร์คเชียร์ ประเทศอังกฤษ ในครอบครัวช่างทอผ้า เมื่อเป็นเด็กค่อนข้างบอบบาง ขี้โรค แต่สนใจในทางตำรับตำรา และภาษาศาสตร์ทุกชนิด ภายหลังจบการศึกษาเขาได้งานทำเป็นครูสอนทางด้านภาษาที่วอร์ชิงตัน

ในสถานบันแห่งนี้ โจเซฟได้เคยฟังการบรรยายเกี่ยวกับวิชาเคมีบ่อยๆ ประกอบกับได้เคยไปชมกิจการของโรงงานทำเบียร์แห่งหนึ่ง ได้เห็นการหมักและผลิตเบียร์ด้วยเชื้อ โดยมีก๊าซชนิดหนึ่งมีกลิ่นออกมา คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง เมื่อเขาทดสอบคุณสมบัติของก๊าซนี้ดูก็พบว่าเป็นก๊าซไม่ติดไฟ เขาจึงคิดที่จะค้นหาก๊าซอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทดลอง

ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1774 เขาจึงค้นพบก๊าซออกซิเจน จากการเผาผงปรอททองแดงด้วยเลนซ์รวมแสงอันมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้ว วิธีทำของเขา ก็คือ ให้แสงอาทิตย์ผ่านเลนซ์ลงมารวมกันที่จุด ๆ หนึ่ง แล้วเอาผงปรอททองแดงวางไว้ตรงจุดนี้ ผงปรอททองแดงถูกแผดเผาจากความร้อนของดวงอาทิตย์หนักเข้าไม่ช้า ก็สลายตัวออกให้ก๊าซอย่างหนึ่งระเหยออกมา ก๊าซนี้ไม่มีสี แต่มีคุณสมบัติช่วยให้ไฟติด มีแสงสว่างมากกว่าธรรมดา ทั้งช่วยให้สัตว์ดำรงชีวิตอยู่ได้นานกว่าอากาศธรรมดา เขนานนามก๊าซนี้ว่า “Dephlogisticated Air” (ดีฟลอจิสติเคทด์ แอร์) แต่ต่อมาภายหลัง ลาวัวซิเอร์ได้ขนานนามก๊าซนี้ใหม่ว่า ออกซิเจน (Oxygen)”

นอกจากนั้น พริสต์เลย์ ยังได้พบวิธีจับก๊าซโดยไล่ที่น้ำได้พบอ๊อกไซด์ของไนโตรเจน พบก๊าซกรดเกลือ ก๊าซแอมโมเนีย ยิ่งกว่านั้น เขายังทดลองให้เห็นว่า สารอินทรีย์ทุกชนิดเมื่อไหม้ไฟแล้ว จะให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทุกครั้ง เขาหาวิธีเผาสารต่าง ๆ แล้วคอยจับก๊าซเก็บไว้ได้หลายอย่าง

โจเซฟ พริสต์เลย์ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1804

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อเล็สซานโดร โวลต้า (Alessandro Volta)

ผลงาน : เป็นผู้คนพบกระแสไฟฟ้า

นักฟิสิกส์และเคมีชาวอิตาเลียน ผู้คนพบกระแสไฟฟ้าที่สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ และป็นผู้ประดิษฐ์แบตเตอรี่ไฟฟ้า จนได้รับเกียรติให้นำชื่อของเขามาเป็นชื่อหน่วยของการวัดแรงเคลื่อนของไฟฟ้ากระแส คือ คำว่า โวลต์

อเล็สซานโดว โวลต้า เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1745 ที่ประเทศอิตาลี เขาเรียนหนังสือเก่งโดยเฉพาะวิชาเคมี และฟิสิกส์ จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ประจำวิชาเคมี และฟิสิกส์ที่บ้านเกิดตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี และอีก 5 ปีต่อมา เขาก็ได้เป็นศาสตราจารย์ประจำวิชาปรัชญาธรรมชาติวิทยา

โวลต้าค้นพบว่า ในความชื้นระหว่างโลหะนั้น จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลได้ จากการเชื่อมปลายโลหะต่างชนิดทั้ง 2 อันเข้าด้วยกัน จากหลักการนี้โวลต้าเริ่มลงมือประดิษฐ์แบตเตอรี่ไฟฟ้าขึ้น โดยเอาคาร์บอนและสังกะสีมาทำเป็นขั้ว

นอกจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าแล้ว โวลต้ายังประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ให้แก่วงการวิทยาศาสตร์อีกมาก อาทิเช่น ตะเกียงแก๊ส เป็นต้น

จากผลงานของเขานี่เอง ที่เขาได้รับการยกย่องให้ใช้ชื่อของเขาเป็นชื่อหน่วยวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแส คือ คำว่า โวลต์นั่นเอง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แซมมวล เอฟ.บี.มอร์ส (Samuel Morse)

ผลงาน : เป็นผู้คิดประดิษฐ์เครื่องรับส่งโทรเลขเป็นคนแรกในปี ค.ศ.1832

ในปัจจุบันนี้ แม้การสื่อสารทางโทรคมนาคมและทางโทรเลขจะก้าวหน้าไปไกลมากแล้วก็ตาม แต่เมื่อย้อนไปในราวก่อน ค.ศ.1800 นั้น การส่งข่าวระหว่างกันในระยะไกล ยังคงเป็นการตีธง การส่งสัญญาณไฟ หรือโดยเมล์ด่วนกันอยู่ จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1832 นั่นเอง ที่การส่งข่าวสารกันโดยทางกระแสไฟฟ้าได้เริ่มขึ้น โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ แซมมวล เอฟ.บี.มอร์ส นั่นเอง

แซมมวล ฟินลีย์ บรีส มอร์ส ชาวอเมริกัน เกิดในปี 1791 การคิดประดิษฐ์เครื่องส่งโทรเลขของเขานั้น เริ่มขึ้นในปี 1832 ขณะเขาเดินทางโดยเรือใบที่ชื่อ ซัลลีย์ และเฝ้าดูการทดลองง่าย ๆ ของ ดร.แจคสัน ซึ่งโดยสารมาในเรือลำเดียวกัน โดย ดร. แจคสัน (Dr.Jackson) เอาลวดพันรอบ ๆ แท่งเหล็ก แท่งหนึ่งและแสดงให้เห็นว่า เหล็กกลายเป็นแม่เหล็ก เนื่องจากใช้ดูดตะปูได้ แม่เมื่อตัดกระแสออก เหล็กก็หมดความเป็นแม่เหล็กและตะปูก็จะร่วงลงมา จากการทดลองเกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นนี้ ทำให้แซมมวล มอร์ส เกิดความคิดเกี่ยวกับการส่งรหัส โดยอาศัยแม่เหล็กไฟฟ้า

มอร์สได้ประดิษฐ์สวิทช์ไฟง่าย ๆ ขึ้นจากแผ่นโลหะสปริงทองเหลือง ตรงปลายมีปุ่มไม้สำหรับกด เมื่อกดปุ่มไม้ลงจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านสวิทช์ แต่เมื่อเลิกกดปุ่มสวิทช์จะเปิดกระแสไม่ไหล สมัยนี้เราเรียกสวิทช์เช่นนี้ว่า สะพานไฟของมอร์ส ใช้ในการส่งกระแสเป็นเวลาสั้น ๆ ยาว ๆ ตามรหัส กระแสนี้ไหลผ่านสายลวดที่ขึงไว้ระหว่างเมืองกับเมือง หรือประเทศกับประเทศ ไปยังแม่เหล็กไฟฟ้าเล็กๆ ซึ่งมีสปริงที่เรียกว่า อาร์เมเจอร์ ต่ออยู่ ในขณะที่มีกระแสสั้น ๆ หรือ จุด อาร์เมเจอร์ จะถูกดูดด้วยแม่เหล็ก และดีดกลับเพราะสปริง ในขณะที่มีกระแสยาว ๆ หรือ ขีด อาร์เมเจอร์จะถูกดูดนานหน่อย โดยใช้ออดไฟฟ้า เราอาจได้ยินเสียงออดสั้นบ้าง ยาวบ้างสลับไนไป มอร์สเป็นผู้คิดระบบที่ใช้รหัสสั้น ๆ ยาว ๆ แทนตัวอักษรต่างๆ เพื่อที่จะได้ส่งข้อความไปตามเส้นลวดด้วยรหัสเช่นนี้ได้ ระบบเช่นนี้เรียกว่า รหัสของมอร์ส ซึ่งใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนี้

แซมมวล มอร์ส ผู้ค้นพบสิ่งประดิษฐ์ซึ่งทรงคุณค่า และเป็นพื้นฐานความเจริญก้าวหน้าทางการสื่อสาร ได้ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1875

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ออร์วิล และ วิลเบอร์ ไรท์ (Orville and Wilbur Wright)


มนุษย์เราใฝ่ฝันที่จะบินได้เหมือนนกมานานแล้ว โดยนักวิทยาศาสตร์ในอดีตหลายคน อาทิเช่น ลิโอนาโด ดาวินซี, ออตโต ลิเลียนทาล ได้คิดประดิษฐ์เครื่องร่อนช่วยในการบินขึ้น แต่บุคคลที่ประสบผลสำเร็จในการประดิษฐ์เครื่องบินได้เป็นบุคคลแรก คือ สองพี่น้องตระกูลไรท์

ออร์วิลและวิลเบอร์ ไรท์ เป็นบุตรของเสมียนในเมืองเล็ก ๆ ชื่อ เดตันในรัฐโอไฮโอ วิลเบอร์ ไรท์ ผู้เป็นพี่ชายเกิดในปี 1867 ส่วนออร์วิล คนน้องเกิดในปี 1871 ทั้งสองมีแรงบันดาลใจเกี่ยวกับเรื่องการบิน ตั้งแต่ได้รับของขวัญเป็นเครื่องร่อนเล็ก ๆ ซึ่งสองคนพี่น้องนึกแปลกใจว่าเครื่องร่อนนั้นบินได้อย่างไร

ต่อมาในปี 1895 หลังจากที่ทั้งคู่จบการศึกษา และร่วมกันเปิดร้านซ่อมจักรยานนั้น พี่น้องคู่นี้ได้อ่านบทความที่เขียน โดยนักสร้างเครื่องร่อนชาวเยอรมัน ชื่อ ออตโต ลิเลียนทาล บทความนี้ทำให้เขาประหลาดใจเหมือนเมื่อสมัยเขาทั้งสองเป็นเด็ก จึงตัดสินใจที่จะสร้างเครื่องยนต์ที่บินได้และบรรทุกคนได้ด้วย

หลังจากที่ทั้งสองพี่น้องได้ศึกษาและทดลองถึงการลอยตัวของว่าว และเครื่องร่อนจนรู้สาเหตุแล้ว จึงได้สร้างเครื่องร่อนขนาดใหญ่พอที่จะบรรทุกคนขึ้นไปได้หนึ่งคนเป็นครั้งแรก และให้ชื่อมันว่า คิตตี้ ฮอร์ค (Kitty Hawk) โดยทำการทดลองร่อนที่เนินเขาในรัฐคาโรไลนาเหนือที่มีลมแรง การทดลองประสบผลสำเร็จ ทั้งคู่จึงสร้างเครื่องร่อนขึ้นอีกหลายลำและเพิ่มระยะทางบินให้มากขึ้น

ในปี ค.ศ.1902 ทั้งคู่คิดหาค้นหาวิธีที่จะทำให้เครื่องร่อนบินได้ไกล และมีประสิทธิภาพขึ้น โดยคิดที่จะใส่เครื่องยนต์ให้กับเครื่องร่อนนั้น พอปลายปี 1903 เครื่องบินลำแรกของโลกก็ได้ถูกสร้าง ขึ้น โดยวิลเบอร์ และออร์วิล เอาเครื่องยนต์ขนาด 12 แรงม้า ใส่เข้ากับเครื่องร่อนคิตตี้ ฮอร์ค ซึ่งใช้หมุนใบพัด 2 ข้าง และตั้งชื่อให้มันว่า ฟลายเออร์ โดยวิลเบอร์ เป็นผู้ทดลองขึ้นบินเป็นคนแรก

ในการทดลองบินครั้งแรกนั้น ฟลายเออร์ยกตัวลอยขึ้นจากพื้นดิน หมุนไปรอบๆ แล้วตกลงบนพื้นดิน ต้องเสียเวลาซ่อม 2 วัน ทั้งคู่จึงทำการทดลองต่อไปใหม่ โดยคราวนี้ออร์วิลเป็นผู้อยู่บนเครื่อง เขาพยายามบินอีกครั้ง ฟลายเออร์ลอยขึ้นสูงจากพื้นดิน 3 เมตร ใช้ความเร็ว 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบินไปได้ไกลถึง 36 เมตร

พี่น้องตระกูลไรท์ได้ทำการทดลองบินอีกในเช้าวันต่อมา จนกระทั่งลมกระโชคทำให้เครื่องพลิกคว่ำแล้วพังไป เขาจึงกลับไปทำงานที่ร้านจักรยานต่อ และทำการทดลองอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1905 โดยสร้างเครื่องบินอีก 3 ลำ และทำการบินได้ครึ่งชั่วโมงในแต่ละครั้ง

น่าประหลาดใจที่ไม่มีใครแสดงความสนใจในสิ่งที่พวกเขาทำมากนัก เพียงไม่กี่คนที่เฝ้าดูเขาทำการบิน ไม่มีแม้แต่การรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ คนทั่วไปไม่คิดว่าการบินจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ในปี ค.ศ. 1908 เขาได้ทำการบินต่อหน้าสาธารณชน โดยมีผู้โดยสารขึ้นไปคนหนึ่งบินไปเกือบครึ่งชั่วโมง และกลายเป็นผู้มีชื่อเสียง เขาได้ทำการสาธิตการบินทั้งในยุโรปและอเมริกา ในปี ค.ศ.1909 ทั้งคู่เป็นวีรบุรุษของปวงชนแทนที่จะเป็นช่างซ่อมจักรบานที่ไม่มีใครรู้จัก เขาได้ตั้งโรงงานผลิตเครื่องบินและได้รับความสำเร็จในทันที

ออร์วิลและวิลเบอร์ได้รับชัยชนะที่งดงามด้วยกัน จนกระทั่งปี ค.ศ.1912 วิลเบอร์เป็นไข้ไทฟอยด์และถึงแก่กรรม ออร์วิลทำงานด้วยตัวเองต่อไป แต่เขาคิดถึงน้องชายมากเกินไป จนไม่รู้สึกสนุกสนานกับงานที่ทำนัก แม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ถึงปี ค.ศ.1948 แต่ได้เลิกบินหลังจากที่วิลเบอร์ถึงแก่กรรมไป 3 ปี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin)

ผลงาน : เป็นผู้คนพบการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม จนได้รับขนานนามว่า บิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์

ชาร์ลส์ ดาร์วิน เริ่มต้นด้วยการเป็นนายแพทย์ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ค่อยชอบ และเคยหนีเรียนในชั่วโมงผ่าตัด เพราะทนเห็นเลือดไม่ได้ แต่ชอบสะสมไข่นก ชอบการตกปลา ล่าสัตว์ และสนุกสนานกับการทดลองเกี่ยวกับสัตว์และพืชจนได้รับการยกย่องว่าเป็น นักธรรมชาติวิทยา ผู้ยิ่งใหญ่

ชาร์ลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1809 ในชูว์เบอรี่ ประเทศอังกฤษ บิดาของเขาเป็นนายแพทย์ซึ่งต้องการให้ลูกชายดำเนินอาชีพทางด้านนี้เช่นกัน เขาจึงถูกส่งไปเรียนการแพทย์ที่เอดินเบอระ แต่เรียนได้ 2 ปีก็ลาออก เพราะใจไม่ชอบทางนี้

ชาร์ลส์เป็นคนที่ชอบสะสมสิ่งของที่เขาสนใจ เช่นแมลง (ที่ตายแล้ว – เขารู้สึกว่าเป็นความผิดที่ฆ่าพวกกมัน) เปลือกหอย ไข่นก เหรียญต่างๆ และหินแปลก ๆ เขาเล่าในภายหลังว่า การสะสมของเขาเป็นการเตรียมให้เขาทำงานเป็นนักธรรมชาติวิทยา

หลังจากที่ลาออกจากการเรียนแพทย์ บิดาจึงส่งชาร์ลส์ไปยังมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เรียนทางศาสนา เพื่อจะบวชเป็นพระ ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นี้เอง ที่เขาได้รับการแนะนำจากอาจารย์สอนพฤกษศาสตร์คนหนึ่ง ให้เขาไปเรียนวิชาธรณีวิทยาเพิ่มเติม จึงเท่ากับเป็นการเพิ่มความรู้ในวิชาธรรมชาติวิทยาที่เขาสนใจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งชาร์ลส์ได้เห็นแมลงที่หายากสองชนิดบนต้นไม้ เขาจับไว้ด้วยมือแต่ละข้างอย่างรวดเร็ว แต่แล้วเขาเห็นตัวที่สาม ยิ่งหายากกว่า แมลงนั้น อยู่ตรงหน้าเขา เขาเอาแมลงตัวหนึ่งใส่เข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว และยื่นมือออกไปจับตัวที่สาม แต่ตัวที่อยู่ในปากของเขาได้คายน้ำชนิดหนึ่งออกมาซึ่งทำให้ลิ้นชองชาร์ลส์ปวดแสบปวดร้อนอย่างมาก จนทำให้เขาต้องถ่มแมลงตัวนั้นออกมา เขาเป็นห่วงว่าจะสูญเสียแมลงตัวนั้นมากกว่าเป็นห่วงว่าจะทำให้ลิ้นเจ็บ

และแล้วโชคก็ผ่านมาในชีวิตของเขา กองทัพเรือได้เตรียมการออกสำรวจรอบโลกโดยทางเรือ ชื่อ บีเกิล (Beagle) เพื่อเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการรับรองของศาสตราจารย์ เฮนสโลว ดาร์วินได้รับเชิญให้เป็นนักสำรวจธรรมชาติวิทยา การสำรวจใช้เวลานานถึง 5 ปี ทำให้ดาร์วินได้มีโอกาสเปรียบเทียบสัตว์และพืชจากส่วนต่าง ๆ ของโลก เขาได้เห็นสัตว์ที่มีถุงหน้าท้อง เช่น จิงโจ้ ในประเทศออสเตรเลีย และในนิวซีแลนด์ ซึ่งจะไม่พบในประเทศอื่น ๆ เมื่อการสำรวจมาถึงหมู่เกาะกาลาพากอสในอเมริกาใต้ดาร์วินก็ได้พบสัตว์ชนิดต่างๆ และพบว่าแต่ละเกาะมีสัตว์เฉพาะชนิด ซึ่งไม่พบในเกาะอื่น

สิ่งที่พบเห็นทำให้ดาร์วินต้องคิดอย่างหนัก สำหรับเขาเหมือนกับว่าสัตว์เหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพิเศษที่ช่วยให้มันมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ๆ ส่วนตัวใดที่ไม่มีลักษณะเช่นนั้นก็จะตายไป ส่วนที่อยู่ก็ได้ถ่ายทอดลักษณะนั้น ไปยังลูกหลาย การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างช้า ตลอด เวลาหลายพันปี ชนิดที่อ่อนแอและมีส่วนที่ด้อยกว่าก็จะตายไป ชนิดที่ดีกว่าก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมเฉพาะนั้น ๆ โดยมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มจำนวนนี่คือ สิ่งที่เราเรียกว่าวิวัฒนาการ

ชาร์ลส์ได้เขียนผลงานชิ้นสำคัญของเขาเล่มแรก คือ เดอะ ซูโอโลจี ออฟ เดอะ บีเกิ้ล มันได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ชาร์ลส์ไม่เร่งร้อนที่จะเปิดเผยความคิดของเขาเรื่อง การกำเนิดของชีวิต บางทีเขาอาจจะต้องการเวลามากกว่านี้สำหรับคิด เขากังวลอย่างมากในการที่จะขัดแย้งกับความเห็นของทางศาสนาที่ทุกคนยอมรับ

แต่นักธรรมชาติวิทยาอีกคนหนึ่งชื่อ วอลเลซ มีความเห็นเช่นเดียวกันกับดาร์วิน เขาเขียนจดหมายถึงดาร์วินในปี 1858 และส่งเอกสารเรื่องนี้ไปให้เขา เขาขอร้องให้ดาร์วินช่วยส่งไปยังมหาวิทยาลัย ดาร์วินมีน้ำใจดีพอที่จะช่วยทำให้พร้อมกับเสริมไปว่า ดาร์วินเองก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่มั่นใจในการที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชน เพราะว่าจะทำให้เกิดความโกลาหลเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและแล้วโชคก็ผ่านมาในชีวิตของเขา กองทัพเรือได้เตรียมการออกสำรวจรอบโลกโดยทางเรือ ชื่อ บีเกิล (Beagle) เพื่อเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการรับรองของศาสตราจารย์ เฮนสโลว ดาร์วินได้รับเชิญให้เป็นนักสำรวจธรรมชาติวิทยา การสำรวจใช้เวลานานถึง 5 ปี ทำให้ดาร์วินได้มีโอกาสเปรียบเทียบสัตว์และพืชจากส่วนต่าง ๆ ของโลก เขาได้เห็นสัตว์ที่มีถุงหน้าท้อง เช่น จิงโจ้ ในประเทศออสเตรเลีย และในนิวซีแลนด์ ซึ่งจะไม่พบในประเทศอื่น ๆ เมื่อการสำรวจมาถึงหมู่เกาะกาลาพากอสในอเมริกาใต้ดาร์วินก็ได้พบสัตว์ชนิดต่างๆ และพบว่าแต่ละเกาะมีสัตว์เฉพาะชนิด ซึ่งไม่พบในเกาะอื่น

สิ่งที่พบเห็นทำให้ดาร์วินต้องคิดอย่างหนัก สำหรับเขาเหมือนกับว่าสัตว์เหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพิเศษที่ช่วยให้มันมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ๆ ส่วนตัวใดที่ไม่มีลักษณะเช่นนั้นก็จะตายไป ส่วนที่อยู่ก็ได้ถ่ายทอดลักษณะนั้น ไปยังลูกหลาย การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างช้า ตลอด เวลาหลายพันปี ชนิดที่อ่อนแอและมีส่วนที่ด้อยกว่าก็จะตายไป ชนิดที่ดีกว่าก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมเฉพาะนั้น ๆ โดยมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มจำนวนนี่คือ สิ่งที่เราเรียกว่าวิวัฒนาการ

ชาร์ลส์ได้เขียนผลงานชิ้นสำคัญของเขาเล่มแรก คือ เดอะ ซูโอโลจี ออฟ เดอะ บีเกิ้ล มันได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ชาร์ลส์ไม่เร่งร้อนที่จะเปิดเผยความคิดของเขาเรื่อง การกำเนิดของชีวิต บางทีเขาอาจจะต้องการเวลามากกว่านี้สำหรับคิด เขากังวลอย่างมากในการที่จะขัดแย้งกับความเห็นของทางศาสนาที่ทุกคนยอมรับ

แต่นักธรรมชาติวิทยาอีกคนหนึ่งชื่อ วอลเลซ มีความเห็นเช่นเดียวกันกับดาร์วิน เขาเขียนจดหมายถึงดาร์วินในปี 1858 และส่งเอกสารเรื่องนี้ไปให้เขา เขาขอร้องให้ดาร์วินช่วยส่งไปยังมหาวิทยาลัย ดาร์วินมีน้ำใจดีพอที่จะช่วยทำให้พร้อมกับเสริมไปว่า ดาร์วินเองก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่มั่นใจในการที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชน เพราะว่าจะทำให้เกิดความโกลาหลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

โชคดี นักธรรมชาติวิทยาที่เคมบริดจ์ทราบเรื่องผลงานของดาร์วิน และชักชวนให้เขาเปิดเผยความคิดเห็น ดังนั้นเขาและวอลเลซจึงพิมพ์เอกสารขึ้นด้วยกัน หนึ่งปีต่อมา หนังสือที่มีชื่อเสียงของดาร์วินชื่อ ออนดิ ออริจิน ออฟ สเปซี่ บาย มีนส์ ออฟ เนเชอราล ซีเลคชั่น ก็ได้ปรากฏขึ้น และเหมือนดังที่ดาร์วินคาดคิดไว้ มันทำให้เกิดความโกลาหล สิ่งที่ดาร์วินพูดถึงคือ บอกว่า โลกนี้มิได้ถูกสร้างขึ้นภายในหนึ่งอาทิตย์ มันมีอายุยาวนานกว่านั้น มันได้เปลี่ยนแปลงไปในเวลานี้ และยังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ สิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน และผิดแผกแตกต่างออกไปจากที่ตอนเริ่มเกิดขึ้นใหม่ ๆ มนุษย์พัฒนาขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตที่ธรรมดาที่สุด เรื่องราวของอดัมและอีฟในสวนอีเดนคงเป็นความจริงไปไม่ได้

ผู้คนคิดว่า ดาร์วินบอกว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากลิงเป็นความคิดที่น่าละอายอย่างยิ่ง หนังสือของดาร์วินถูกนำไปเผาทิ้งด้วยความโกรธและขยะแขยง ฝ่ายศาสจักรพร้อมที่จะเผชิญกับดาร์วิน ในปี 1860 พวกเขาเรียกประชุมที่อ๊อกซ์ฟอร์ด พวกพระและนักวิทยาศาสตร์พบกันที่นั่น เพื่อถกเถียงกันถึงต้นกำเนิดของสัตว์และต้นไม้

สำหรับเรา การประชุมกันแบบนี้ ฟังดูเป็นเรื่องหัวโบราณเหลือเกิน แต่ในสมัยนั้นถือเป็นเรื่องจริงจัง ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าความคิดเห็นของดาร์วินถูกต้อง และเรื่องราวของอดัมกับอีฟเป็นแต่เพียงเรื่องเล่า ฝ่ายศาสนจักรยังคงมีอำนาจมากจนดาร์วินไม่เคยได้รับรางวัลเกียรติยศจากผลงานของเขา

จากการหมกมุ่นในการทำงานทำให้สุขภาพของเขาทรุดลง แต่เขายังทำงานต่อไป เมื่อข้าพเจ้าต้องหยุดการสังเกต ข้าพเจ้าก็ตาย เขาพูดในวันที่ 17 เมษายน 1882 เขายังคงทำงานอยู่ และเสียชีวิตอีกสองวันต่อมา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS